PaidVerts

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ

รูปภาพจาก : www.google.co.th/search

รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว
          เดิมมีชื่อว่า อุทยานแห่งชาติเขาสลอบ ประกาศเป็นเขตอุทยานฯ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2518 มีเนื้อที่ 343,735 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติเอราวัณเนื่องจากชั้นสูงสุดของน้ำตกเป็นธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายหัวช้างเอราวัณ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ คือ
น้ำตกเอราวัณ อยู่ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ต้นน้ำเกิดจากลำห้วยม่องไล่ไหลผ่านลงจากยอดเขาและผาสูง 2,100 เมตร น้ำตกเอราวัณมีความยาว 1,500 เมตร แบ่งเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีลักษณะเป็นอ่างสามารถเล่นน้ำได้ และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเอราวัณ ระยะทาง 1,060 เมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผ่านป่าดิบเขา จุดชมวิวและป่าผลัดใบที่สวยงาม ท่านจะได้รับความเพลิดเพลินในการชื่นชมธรรมชาติและได้ความรู้จากป้ายสื่อความหมาย
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ คนไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท
อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2558 ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 25 บาท 
ในบริเวณอุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0 2562 0760 วันจันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-15.30 น. หรือเว็บไซต์ www.dnp.go.th หรือที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ หมู่ 4 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี โทร. 0 3457 4222, 0 3457 4722, 0 3457 4234
หมายเหตุ : อุทยานแห่งชาติเอราวัณได้รับรางวัลยอดเยี่ยมประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ภาคกลาง จากการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ครั้งที่ 6 ประจำปี 2549 มีการบริการเทียบเท่าระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นรถกอล์ฟสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการที่ประสงค์จะเข้าชมน้ำตก ซึ่งอยู่ห่างจากที่จอดรถถึงน้ำตกชั้นแรกประมาณ 700 เมตร


 การเดินทาง

        โดยรถยนต์
ไปตามทางหลวงหมายเลข 3199 (กาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์) เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 56 แยกซ้ายข้ามสะพานเข้าตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถแล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร จะถึงน้ำตก

        โดยรถประจำทาง
มีรถสายกาญจนบุรี-เอราวัณออกจากสถานีขนส่ง ถ.แสงชูโต มายังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ทุกวัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://thai.tourismthailand.org

บ้านอนุรักษ์ควายไทย

วันเปิดทำการ : วันจันทร์ - วันอาทิตย์
 09.00 - 18.00
รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว
                 เป็นสถานที่รวบรวมวิถีชีวิตแบบพื้นบ้านภาคกลาง มีพื้นที่ 100 กว่าไร่ แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ เช่น หมู่บ้านชาวนาแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีลานนวดข้าว คอกควาย บ้านเรือนไทยภาคกลาง ผู้เข้าเยี่ยมชมสามารถสัมผัสกับวิถีการดำเนินชีวิตแบบย้อนยุค และกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ เช่น การทำนาในแบบโบราณที่ยังใช้แรงงานจากควายและอุปกรณ์การทำนาแบบโบราณ มีพื้นที่จำลองในการแบ่งสันส่วนพื้นที่ทำเกษตกรรมตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รวมทั้งสวนผีเสื้อนานาพันธุ์ สวนกล้วยไม้ หมู่บ้านชาวนา และสวนสมุนไพร เรือนแต่ละหลังมีกิจกรรมสำหรับผู้สนใจ เช่น เรือนแพทย์แผนไทย การนวดแผนไทย และการใช้สมุนไพร เรือนโหราศาสตร์ ส่วนด้านหน้าทางเข้ามีร้านขายสินค้าที่ระลึกของบ้านควายสำหรับนักท่องเที่ยว 
ทั้งนี้ “บ้านควาย – สุพรรณบุรี” ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของไทย  มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2545  ในงานมีการจัดแสดงสินค้าหัตถกรรม “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” และกิจกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น การประกวดควายงาม  การแสดงความสามารถพิเศษของควาย และการวิ่งควาย
บ้านควายยังมีลานแสดงควาย วันจันทร์-ศุกร์  โดยการแสดงมีรอบ 11.00 น. และ 15.00 น.  ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ มีการแสดงรอบ 11.00 น., 14.30 น. และ 16.00 น.  
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่สนใจ อาทิ กิจกรรมสุพรรณสัญจร “ย้อนอดีตวิถีชีวิตไทย" โดยผู้ร่วมกิจกรรมจะได้รับฟังคำบรรยาย เรื่องข้าว ชาวนา ควาย พิธีการทำขวัญข้าว และลงมือทำกิจกรรม ไถนา คราดนา หว่านข้าว ดำนา รวมทั้งมีการเรียนการสอนบังคับควายในการใช้งาน ได้แก่ การขึ้นควาย การให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เป็นต้น
บ้านควายเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00–18.00 น.
ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก 100 บาท
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานกรุงเทพฯ โทร. 0 2270 0395-7   สำนักงานสุพรรณบุรีโทร. 0 3558 1668 หรือที่เว็บไซด์ www.buffalovillages.com

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : http://thai.tourismthailand.org


อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว
                อุทยานแห่งชาติภูกระดึงได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยมีที่ราบบนยอดภูกระดึงประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร (37,500 ไร่)
              ภูกระดึงมีระดับความสูงอยู่ระหว่าง 400 – 1,200 เมตร จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตร สภาพทั่วไปของภูกระดึงประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพองซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
               ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปีบนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวปรารถนาที่หวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต 
               นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะเข้าไปท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดภูกระดึง ขอให้ติดต่อ สอบถาม หรือสำรองการเข้าไปใช้บริการล่วงหน้า ทั้งที่พักประเภทเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติและพื้นที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวที่นำเต็นท์มาเองตามแผนผังจุดพักแรม ก่อนเดินทางได้โดยตรง ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทรศัพท์หมายเลข 0-42810-833 และหมายเลข 0-42810-834 ในเวลาราชการ (08.00 น.-16.30 น.) ในกรณีที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาท่องเที่ยวพักแรมบนยอดเขาที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงนั้น ให้มาติดต่อซื้อค่าบริการบุคคลก่อนเวลา 13.30 น. และในเวลา 14.00 น. ของทุกวันจะทำการปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาในแต่ละวัน

ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี
 ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 4บาท เด็ก 2บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 20บาท อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2558 ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : http://thai.tourismthailand.org

เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี


รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว
เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี
    
                 เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ  ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยดำเนินการภายใต้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 
การเดินทางถ้ามาจากเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนห้วยแก้ว ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 121 ไปอำเภอหางดง ประมาณ 10 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 
โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ประกอบด้วย ส่วนแสดงสัตว์ และ  ส่วนที่พักรีสอร์ท
ส่วนแสดงสัตว์  ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี แบ่งได้ 3 จุดย่อย ดังนี้
จุดแรก คือ Jaguar Trail  ซึ่งมีทะเลสาบ (Swan Lake) ขนาดระยะทาง 1.2 กม. ไว้ให้เดินพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย  ระหว่างทางจะพบกับสัตว์ป่ามากกว่า 400 ตัว หรือ 50 ชนิด อาทิเช่น เสือขาว เสือจากัวร์ หนูยักษ์คาปิลาลา เสือลายเมฆ สมเสร็จบราซิล ม้าแคระ ฮิปโปแคระ ลิงอุรังอุตัง เสือดำ  ฯลฯ
จุดที่สอง คือ Predator Prowl เป็นจุดแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กินเนื้อ ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าที่มีความดุร้าย  ประมาณ 200 ตัว อาทิเช่น เสือโคร่งขาว เสือโคร่งอินโดจีน เสือโคร่งเบงกอล สิงโต หมาป่า   หมีควาย  เป็นต้น นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้โดยนั่งรถขนาด 60 ที่นั่งเป็นระยะทาง 2.13 กม.   
จุดที่สาม คือ Savanna Safari ส่วนแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กีบและสัตว์กินพืชที่มีถิ่นอาศัยในแถบทุ่งหญ้าสะวันนา ประมาณ 320 ตัว  อาทิเช่น เลียงผา กวางผา กระทิง แรดขาว ไฮยีน่า เสือชีต้า  ฯลฯ โดยระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะพบกับสถาปัตยกรรมจำลองเวียงกุมกาม ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และในพื้นที่ส่วนบริการจะเป็นหมู่บ้านล้านนา ซึ่งเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างแอฟริกาและไทยล้านนา ประกอบด้วย ศูนย์อาหาร ศูนย์รวมสินค้า  ของที่ระลึก และเป็นสถานีรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปยังส่วนแสดงสัตว์ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังได้เพลิดเพลินกับลานน้ำพุดนตรี (Fun Plaza) บริเวณด้านข้างของอาคารอีกด้วย
 ในส่วนของอัตราค่าเข้าชม ค่าตั๋วช่วงเวลาเวลากลางวันจะถูกกว่าช่วงเวลากลางคืน โดยช่วงกลางวัน ค่าเข้าชมของคนไทย ผู้ใหญ่อยู่ที่ 50บาท และเด็ก 25บาท  ในขณะที่ ช่วงกลางคืนค่าเข้าชมของคนไทย ผู้ใหญ่อยู่ที่ 250 บาท และเด็ก 125  บาท
   นักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถมาได้ตามเวลาเข้าชม ดังนี้  จันทร์-ศุกร์ เวลา 13.00-16.00 น.
 เสาร์-อาทิตย์ 10.00-16.00 ส่วนช่วงกลางคืน เวลา 18.00-24.00 น. เปิดทุกวัน  อีกทั้งยังมีบริการบ้านพักและสถานที่ตั้งเต็นท์พักแรมสำหรับนักท่องเที่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 05-399 -9079 หรือ เว็บไซต์ www.chiangmainightsafari.com 

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : http://thai.tourismthailand.org

เที่ยวนครพนม


แหล่งที่มารูปภาพ : http://nkr.mcu.ac.th
"พระธาตุพนมค่าล้ำ วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภา งามตาฝั่งโขง"
ข้อมูลจังหวัด
นครพนมเป็นจังหวัดชายแดนตั้งเลียบชายฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ เป็นพระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกหน้าอก) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (สมณโคดม) นับเป็นพระธาตุคู่เมืองนครพนมและเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยและชาวลาวทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง พระธาตุพนมประดิษฐานอยู่ที่อำเภอธาตุพนม อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนม 52 กิโลเมตร จังหวัดนครพนมมีพื้นที่ประมาณ 5,512.668 ตารางกิโลเมตร ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 740 กิโลเมตร
นครพนมเป็นจังหวัดที่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์มาแต่โบราณกาล ในฐานะเมืองเก่าเคียงคู่อยู่กับอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ซึ่งแต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น มีพื้นที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และต่อมาก็ได้ย้ายมาอยู่ฝั่งขวาสลับกันหลายครั้ง ตำนานแห่งประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชตีเมืองเวียงจันทน์ได้ ชื่อของดินแดนนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็น "มรุกขนคร" และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น "นครพนม" เพื่อความเหมาะสมตามสภาพพื้นที่ด้วย เป็นเมืองที่มีพื้นที่ติดต่อกับทิวเขามากมาย ด้วยความเป็นอาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาเก่าก่อน ประกอบกับแม่น้ำโขงเป็นแหล่งวัฒนธรรมของมนุษย์ชาติจากหลายชนเผ่า ดังนั้น นครพนมจึงมีโบราณสถาน และมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์
ข้อมูลอาณาเขต
ทิศเหนือ     ติดต่อกับจังหวัดบึงกาฬ
ทิศตะวันออก     ติดต่อกับแขวงคำม่วน ประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงไหลกั้นพรมแดน
ทิศใต้         ติดต่อกับจังหวัดมุกดาหาร
ทิศตะวันตก     ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร
การเดินทาง
รถยนต์
จากกรุงเทพมหานคร ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงจังหวัดสระบุรีบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 107 แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ถึงอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 23 ผ่านเข้าสู่จังหวัดมหาสารคาม จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 213 ไปจังหวัดกาฬสินธุ์ จนถึงจังหวัดสกลนคร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 22 ตรงเข้าสู่จังหวัดนครพนม รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 740 กิโลเมตร
รถโดยสารประจำทาง
สถานีขนส่งนครพนม มีบริการรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและปรับอากาศ ทั้งรถที่มาจากกรุงเทพฯ และจากหนองคายไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น
1.บริษัท ขนส่ง จำกัด สาย 26 & 930 กรุงเทพฯ - นครพนม (สาย 26 ให้บริการรถมาตรฐาน ม.4ค , ม.4ข , ม.4ก และสาย 930 บริการรถมาตรฐาน ม.4ค เท่านั้น)
2.บริษัท แสงประทีปเดินรถ จำกัด สาย 26 กรุงเทพฯ - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.2 , ม.1ข , ม.1พ
3.บริษัท ชัยสิทธิ์ทัวร์ จำกัด สาย 930 กรุงเทพฯ - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.1ข)
4.บริษัท เชิดชัยทัวร์ จำกัด สาย 930 กรุงเทพฯ - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.1ข)
5.บริษัท สหมิตรอุบล จำกัด สาย 256 อุบลราชธานี - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.3 ,ม.2,ม.1ข)
6.บริษัท สหอุดรเดินรถ จำกัด สาย 231 อุดรธานี - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.1ข , ม.2)
7.รถร่วม บขส. สาย 224 อุดรธานี - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.2)
8.บริษัท วิทยาทรานสปอร์ต จำกัด สาย 555 มุกดาหาร-นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.2)
9.บริษัท เชิงชุมเดินรถ จำกัด (ชัยวัฒน์เซอร์วิส) สาย 586 ขอนแก่น - นครพนม (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.1ข
10.บริษัท ชาญทัวร์ จำกัด สาย 827 นครพนม - ระยอง (ให้บริการรถมาตรฐาน ม.4ข)
11.สายที่ 876 เชียงใหม่ - นครพนม
12.นครพนม-นครศรีธรรมราช
เครื่องบิน
ท่าอากาศยานนครพนม
ข้อมูลควรรู้
พื้นที่ชายแดนด้านเหนือและตะวันออกของนครพนมติดกับแม่น้ำโขงโดยตลอด ตั้งแต่อำเภอบ้านแพงลงมาจนถึงอำเภอธาตุพนม สามารถเดินทางข้ามฝั่งโขงไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้หลายจุด
ข้อปฏิบัติในการยื่นทำบัตรอนุญาตผ่านแดนไปเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ด่านตรวจคนเข้าเมืองนครพนม ตั้งอยู่ที่ถนนสุนทรวิจิตร เปิดทำการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. โดยทางปฏิบัติในการเดินทางเข้า-ออก ณ จุดผ่านแดนถาวร อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เนื่องจากไทยและลาวได้มีข้อตกลงกันในการยกเว้นวีซ่า สำหรับคนไทยที่ไม่มีหนังสือเดินทางสามารถยื่นคำขอทำบัตรอนุญาตผ่านแดนได้ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมือง บริเวณตลาดอินโดจีน โดยผู้ยื่นคำขอต้องยื่นด้วยตัวเองพร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้
  • บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมสำเนา จำนวน 1 แผ่น
  • รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว หน้าตรงไม่สวมหมวกหรือแว่นตา จำนวน 2 รูป
  • ค่าธรรมเนียมในการขอยื่นทำคำร้อง ฉบับละ 30 บาท (วันจันทร์-ศุกร์) และ 40 บาท (วันเสาร์-อาทิตย์)
  • ค่าธรรมเนียมเข้าประเทศ คนละ 50 บาท
  • ค่าเรือโดยสาร คนละ 40 บาท/เที่ยว
แผนที่เที่ยว นครพนม

แหล่งที่มา : http://www.painaidii.com

สวนสัตว์เชียงใหม่


รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว
สวนสัตว์เชียงใหม่
สวนสัตว์เชียงใหม่ ตั้งอยู่ ณ ถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 5 กิโลเมตร ใกล้กับสวนรุกขชาติ เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่มีสัตว์มากมายหลายชนิด ทั้งที่มีอยู่ในเมืองไทยและนำมาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ หมีแพนด้า ซึ่งเป็นทูตสันถวไมตรีเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน และหมีโคอาล่าจากออสเตรเลีย เป็นต้น สวนสัตว์เชียงใหม่เองนั้นแบ่งโซนออกได้หลายแห่ง และมีกิจกรรมหลากหลายให้แก่ผู้มาเยือนที่สวนสัตว์ สถานที่ต่างๆ ในสวนสัตว์เชียงใหม่ อาทิ
เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ศูนย์แสดงสัตว์น้ำมีอุโมงค์ยาว 133 เมตร สวนนกเพนกวินและสวนนกฟิ้นช์ ซึ่งเป็นนกขนาดเล็ก มีสีสันสวยงามจนได้รับการขนานนามว่าเป็น อัญมณีบินได้ มีรถไฟฟ้ารางเดี่ยวพร้อมระบบปรับอากาศ บริการรับผู้โดยสารได้ครั้งละ 50-70 คน/ เที่ยว ระยะทางวิ่ง 2 กิโลเมตร จอดรับส่งผู้โดยสาร 4 สถานี วันจันทร์ถึงวันศุกร์  เปิดเวลา 10.00-16.00 น. เวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดเวลา 09.00-16.30 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 290 บาท เด็ก 190 บาท
สวนชมนกนครพิงค์ เป็นกรงนกขนาดใหญ่บนพื้นที่ 6 ไร่ ซึ่งถือเป็นสวนชมนกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนได้สัมผัสและเรียนรู้เรื่องราวทางธรรมชาติของนกกว่า 132 ชนิดจากทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่ร่มรื่นของน้ำตกกู่ขาว
Zoo kids Zone สวนสัตว์เด็ก ในสวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นส่วนจัดแสดงที่รวบรวมสัตว์ที่น่ารักหลากหลายชนิดให้เด็กๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ อีกทั้งยังมีกิจกรรมที่สนุกสนาน รอให้เด็กๆเข้ามาสัมผัสและร่วมกิจกรรมกับทางสวนสัตว์เชียงใหม่ Zoo kids Zone ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาจากเดิมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ เครื่องเล่นต่างๆ สื่อความรู้และรวมถึงกิจกรรมที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อให้เป็นสวนสัตว์เด็กที่สามารถสร้างจินตนาการและความรู้ให้เด็กๆ
นอกจากนั้นยังมี ทัวร์ชมสัตว์ป่ายามค่ำคืน Twilight Zooโดยรถยนต์นำชมพฤติกรรมสัตว์ต่าง ๆ ที่ออกหากินยามกลางคืน พร้อมวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ตั้งแต่เวลา 18.30-21.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองทัวร์ได้ที่ โทร. +66 5321 0374, +66 5322 1179, +66 5322 2283 หรือ www.chiangmaizoo.com

                 

วัดอรุณ


รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว
      วัดอรุณราชวราราม เป็น พระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ ข้ามเรือได้ที่ท่าเตียน เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา วแต่เริ่มเดิมทีเรียกว่า วัดมะกอกต่มาในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ชาวบ้านเรียกชื่อวัดแห่งนี้จนติดปากว่า วัดแจ้ง 
 เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรี ได้โปรดเกล้าฯ ให้กำหนดเอาวัดแจ้งเป็นวัดในเขตพระราชฐานใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ 
ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1
เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยของพระองค์ จึงถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 เมื่อบูรณะเสร็จแล้วได้พระราชทานนามว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการก่อสร้างเสริม พระปรางค์องค์ใหญ่ให้มีความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร และให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูลแต่มาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
อีกทั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม” ปัจจุบันเจ้าอาวาสคือพระเทพมงคลรังษี นามเดิม เฉลียว ฉายา ฐิตปุญฺโญ นามสกุล ปัญจมะวัต
นักท่องเที่ยวหรือผู้สนใจ สามารถเข้าชมได้ใน เวลาเปิดทำการ: 07.30 - 17.30  น.ของทุกวันโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชม และสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็ปไซต์ www.watarun.org